อุปสงค์และอุปทาน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ในทางเศรษฐศาสตร์ อุปสงค์และอุปทาน (อังกฤษ: Demand and Supply) เป็นแบบจำลองพื้นฐานที่อธิบายความสัมพันธ์ของผู้ซื้อและผู้ขายสินค้าในตลาดที่มีการแข่งขัน โดยถือว่าอุปสงค์และอุปทาน เป็นตัวแปรที่กำหนดปริมาณและราคาของสินค้าแต่ละชนิดในตลาด[1]
โดยทั่วไป อุปสงค์ (อังกฤษ: demand) หมายถึง ความต้องการซื้อสินค้าและบริการ[2] ในขณะที่อุปทาน (supply) หมายถึง ความต้องการขายสินค้าและบริการ[3]
เนื้อหา
[ซ่อน]กฎอุปสงค์และอุปทาน[แก้]
กฎอุปสงค์ (Law of Demand) และกฎอุปทาน (Law of Supply) เป็นหลักการที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างราคาและปริมาณความต้องการซื้อหรือขาย โดยกฎอุปสงค์ระบุว่า ปริมาณความต้องการซื้อสินค้า หรือเรียกว่าปริมาณอุปสงค์ (quantity demanded) มีความสัมพันธ์ในทางลบกับราคา เมื่อปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลนั้นคงที่ กล่าวคือ เมื่อราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะต้องการซื้อสินค้านั้นน้อยลง กฎอุปทานระบุว่า ปริมาณสินค้าที่ต้องการขาย หรือปริมาณอุปทาน (quantity supplied) มีความสัมพันธ์ในทางบวกกับราคา เมื่อปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลนั้นคงที่ กล่าวคือเมื่อราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น ผู้ขายมีแนวโน้มที่จะต้องการขายสินค้ามากขึ้น
กฎอุปสงค์และอุปทาน มักนำเสนอออกมาในรูปแบบของแผนภูมิเส้น โดยให้แกนตั้งเป็นราคา และแกนนอนเป็นปริมาณสินค้า เส้นอุปสงค์มักเขียนออกมาเป็นเส้นลาดลง และเส้นอุปทานเป็นเส้นชันขึ้น แม้ว่าโดยทั่วไปเส้นกราฟอุปทานจะมีลักษณะชันขึ้น อย่างไรก็ตาม มีบางกรณีที่เส้นกราฟอุปทานที่ว่ากันว่าแบบสมมติฐาน ตัวอย่างของข้อยกเว้นนี้ได้แก่ เส้นกราฟอุปทานของแรงงานที่มีลักษณะของการโน้มกลับ กล่าวคือ เมื่ออัตราค่าแรงเพิ่มขึ้น คนงานคนหนึ่งก็พร้อมจะทำงานเป็นจำนวนชั่วโมงที่มากขึ้น แต่เมื่ออัตราค่าแรงขึ้นถึงจุดที่สูงมากๆ คนงานอาจพบกับเลือกทำงานน้อยลงและใช้เวลาว่างมากขึ้น[4] การวกกลับของเส้นกราฟอุปทานยังปรากฏในตลาดอื่นด้วย เช่นในตลาดน้ำมัน ประเทศที่ส่งออกน้ำมันหลายประเทศลดการผลิตน้ำมันหลังจากราคาพุ่งสูงขึ้นในวิกฤตการณ์น้ำมันปีพ.ศ. 2520[5]
ความสัมพันธ์ของอุปสงค์และอุปทาน[แก้]
โมเดลของอุปสงค์และอุปทาน อธิบายว่า ตลาดมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ดุลยภาพ (equilibrium) ซึ่งปริมาณอุปสงค์และปริมาณอุปทานจะเท่ากัน เรียกราคาที่ภาวะดุลยภาพว่า ราคาดุลยภาพ และปริมาณสินค้าที่ภาวะนี้ว่า ปริมาณดุลยภาพ หากปริมาณอุปสงค์มากกว่าปริมาณอุปทาน ซึ่งเกิดเมื่อราคาสินค้าต่ำกว่าราคาดุลยภาพของสินค้านั้น จะเกิดการขาดแคลนสินค้า หรือเรียกว่ามีอุปสงค์ส่วนเกิน ในขณะที่เมื่อปริมาณอุปทานมากกว่าปริมาณอุปสงค์ คือเมื่อราคาสินค้าสูงกว่าราคาดุลยภาพ จะเกิดสินค้าล้นตลาด หรืออุปทานส่วนเกิน โดยเมื่อเกิดกรณีเหล่านี้ ผู้ซื้อและผู้ขายในตลาดจะตอบสนองจนกระทั่งตลาดเข้าสู่ดุลยภาพต่อเนื่องกัน
ในการแสดงด้วยแผนภูมิ ดุลยภาพคือจุดที่เส้นอุปสงค์และเส้นอุปทานตัดกัน.
การเปลี่ยนแปลงอุปสงค์และอุปทาน[แก้]
กฎอุปสงค์และกฎอุปทาน อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างราคาและปริมาณสินค้า เมื่อปัจจัยอื่นๆ คงที่ หากปัจจัยอื่นเกิดความเปลี่ยนแปลง จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์หรืออุปทาน คือปริมาณอุปสงค์หรือปริมาณอุปทานจะมีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงที่ทุกระดับราคา แสดงในแผนภูมิในลักษณะของการเปลี่ยนแปลงเส้นอุปสงค์หรืออุปทาน
ปัจจัยกำหนดอุปสงค์สำคัญที่มักกล่าวถึงได้แก่ รายได้ ราคาของสินค้าอื่นที่เกี่ยวข้อง รสนิยม ความคาดหวัง จำนวนผู้ซื้อ ในขณะที่ปัจจัยที่กำหนดอุปทานมักกล่าวถึง ต้นทุนปัจจัยการผลิต เทคโนโลยี ความคาดหวัง และจำนวนผู้ขาย
ความยืดหยุ่น[แก้]
สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งในหลักการของอุปสงค์และอุปทานได้แก่ความยืดหยุ่น (elasticity) ในทฤษฏีของอุปสงค์และอุปทาน ความยืดหยุ่นคือการวัดการเปลี่ยนแปลงของปริมาณอุปสงค์หรืออุปทานต่อปัจจัยที่กำหนดอุปสงค์หรืออุปทาน การศึกษาความยืดหยุ่นที่มักนำมาพิจารณาคือความยืดหยุ่นต่อราคา ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงของปริมาณอุปสงค์หรืออุปทานที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของราคา
การประกันราคาขั้นต่ำคืออะไร และทำเพื่อใคร
การกำหนดราคาขั้นต่ำคือ รัฐจะเข้ามาแทรกแซงตลาดโดยการประกันราคาหรือพยุงราคาในกรณีที่สิ้นค้าชนิดนั้นมีแนวโน้มจะต่ำมากหรือต่ำกว่าราคาขั้นต่ำการควบคุมราคาขั้นต่ำเป็นมาตรการที่รัฐบาลควบคุมราคาเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ผลิตไม่ให้ได้รับความเดือดร้อนจากการที่ราคาสินค้าที่ผลิตได้ต่ำเกินไป ไม่คุ้มทุนที่ลงไปราคาตลาดอยู่ต่ำกว่าราคาประกันหรือราคาขั้นต่ำจะก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้ผลิตเพราะขายสินค้าได้น้อยกว่าราคาขั้นต่ำโดยหลักการแล้วรัฐสามารถทำได้ 2 ทางคือ
- เพิ่มอุปสงค์ที่มีต่อสินค้าโดยรัฐอาจลดภาษีสินค้าชนิดนั้นหรือเชิญชวนให้บริโภคสินค้าชนิดนั้นมากขึ้น
- ลดอุปทานโดยการจำกัดการผลิต เช่น การผลิตสินค้าชนิดนั้นลดลงและผลิตสินค้าชนิดอื่นแทน
-ทำเพื่อประชาชนเพื่อการลดหย่อนภาษาและ่าครองชีพให้สามารถดำรงชีีวิตต่อไปได้
การประกันราคาขั้นต่ำคืออะไร และทำเพื่อใคร
การกำหนดราคาหรือประกันราคาขั้นต่ำ
การกำหนดราคาขั้นต่ำ (minimum price control)คือ รัฐบาลจะเข้ามาแทรกแซงตลาดโดยการประกันราคาหรือพยุงราคาในกรณีที่สิ้นค้าชนิดนั้นมีแนวโน้มจะต่ำมากหรือต่ำกว่าราคาขั้นต่ำ การควบคุมราคาขั้นต่ำเป็นมาตรการที่รัฐบาลควบคุมราคาเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ผลิตไม่ให้ได้รับความเดือดร้อนจากการที่ราคาสินค้าที่ผลิตได้ต่ำเกินไปไม่คุ้มทุนที่ลงไป
ราคาซื้อขายกัน ณ จุด E เป็น การซื้อขาย ที่ผู้ผลิตหรือผู้ขายซึ่งเป็นเกษตรกร เดือดร้อน เพราะราคาต่ำ รัฐบาลจึงต้องเข้าไปช่วยเหลือ โดยการกำหนดราคาขั้นต่ำหรือการพยุงราคา ไว้ที่ OP3500 ซึ่งสูงกว่าราคาที่เป็นอยู่ และเมื่อราคาสูงขึ้น ผู้ผลิตก็ผลิตสินค้ามาจำหน่ายมากขึ้น จาก OQ2 เป็น OQa3
แต่ ณ ราคานี้ เต็มใจซื้อสินค้าเพียง OQa1 ซึ่งจะทำให้มีสินค้าเหลือ จำนวน FH ซึ่งเราเรียกว่า “อุปทานส่วนเกิน” ( EXCESS SUPPLY) และถ้าหากรัฐบาลต้องการจะให้การช่วยเหลือเกษตรกรที่เดือดร้อนนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลจะต้องเข้าไปรับซื้อส่วนเกินนี้ไว้ จึงจะทำให้จุด Fการซื้อขายเข้าสู่จุด ดุลยภาพ
นี่คือ นโยบายแทรกแซงราคา เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ผลิต โดยการกำหนดราคาขั้นต่ำหรือที่เรียกว่า การพยุงราคาสินค้าเกษตร
นอกจากนี้ รัฐยังมีการช่วยเหลือ ด้วยการให้เงินอุดหนุน ( Subsidies) แก่ผู้ผลิต เป็นต้น
ราคาตลาดอยู่ต่ำกว่าราคาประกันหรือราคาขั้นต่ำ จะก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้ผลิตเพราะขายสินค้าได้น้อยกว่าราคาขั้นต่ำ โดยหลักการแล้วรัฐสามารถทำได้ 2 ทางคือ
- เพิ่มอุปสงค์ที่มีต่อสินค้าโดยรัฐอาจลดภาษีสินค้าชนิดนั้นหรือเชิญชวนให้บริโภคสินค้าชนิดนั้นมากขึ้น
- ลดอุปทาน โดยการจำกัดการผลิต เช่น การผลิตสินค้าชนิดนั้นลดลงและผลิตสินค้าชนิดอื่นแทน
การกำหนดราคาหรือประกันราคาขั้นต่ำ ทำเพื่อใคร
การควบคุมราคาขั้นต่ำ เป็นมาตรการที่รัฐบาลควบคุมราคาเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ผลิตไม่ให้ได้รับความเดือดร้อน จากการที่ราคาสินค้าที่ผลิตได้ต่ำเกินไปไม่คุ้มทุนที่ลงไป การควบคุมราคาขั้นต่ำส่วนใหญ่จะควบคุมสินค้าที่เป็นสินค้าเกษตรซึ่งรัฐบาลเห็นว่าราคาผลผลิตต่ำเกินไปทำให้เกษตรกรเดือดร้อน การควบคุมราคาขั้นต่ำนั้นรัฐบาลจะกำหนดราคาซื้อขายสินค้าไม่ให้ต่ำกว่าที่รัฐบาลกำหนด
แต่ ณ ราคานี้ เต็มใจซื้อสินค้าเพียง OQa1 ซึ่งจะทำให้มีสินค้าเหลือ จำนวน FH ซึ่งเราเรียกว่า “อุปทานส่วนเกิน” ( EXCESS SUPPLY) และถ้าหากรัฐบาลต้องการจะให้การช่วยเหลือเกษตรกรที่เดือดร้อนนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลจะต้องเข้าไปรับซื้อส่วนเกินนี้ไว้ จึงจะทำให้จุด Fการซื้อขายเข้าสู่จุด ดุลยภาพ
นี่คือ นโยบายแทรกแซงราคา เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ผลิต โดยการกำหนดราคาขั้นต่ำหรือที่เรียกว่า การพยุงราคาสินค้าเกษตร
นอกจากนี้ รัฐยังมีการช่วยเหลือ ด้วยการให้เงินอุดหนุน ( Subsidies) แก่ผู้ผลิต เป็นต้น
- เพิ่มอุปสงค์ที่มีต่อสินค้าโดยรัฐอาจลดภาษีสินค้าชนิดนั้นหรือเชิญชวนให้บริโภคสินค้าชนิดนั้นมากขึ้น
- ลดอุปทาน โดยการจำกัดการผลิต เช่น การผลิตสินค้าชนิดนั้นลดลงและผลิตสินค้าชนิดอื่นแทน
การกำหนดราคาหรือประกันราคาขั้นต่ำ ทำเพื่อใคร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น